โฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน (ฝรั่งเศส: Jos?phine de Beauharnais; พระนามเดิม มารี โฌแซ็ฟ โรซ ตาเช เดอ ลา ปาเฌอรี (ฝรั่งเศส: Marie Jos?phe Rose Tascher de La Pagerie; 23 มิถุนายน ค.ศ. 1763 – 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1814) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "โรซ" โดยพระองค์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสพระองค์แรก และเป็นพระมเหสีพระองค์ที่หนึ่งในสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส
โฌเซฟีนไม่ได้เกิดมาในตระกูลสูง บิดาของพระองค์เคยเป็นทหารเรือฝรั่งเศสที่ไปทำไร่อยู่บนเกาะมาร์ตินีกในทะเลแคริบเบียน เมื่อพระองค์อายุได้ 3 ขวบ พายุเฮอร์ริเคนก็ถล่มเกาะมาร์ตินีก จนไร่ของครอบครัวตาเชได้รับความเสียหายอย่างหนัก บิดาของพระองค์ไม่เหลือเงินเลยแม้แต่ฟรังก์เดียว ความหวังของเขาที่เหลืออยู่คือหาผู้ชายรวย ๆ มาแต่งงานกับลูกสาวทั้ง 3 คนของตัวเองเพื่อช่วยพยุงฐานะของครอบครัวให้ดีขึ้นมาบ้าง โดยเริ่มจากลูกสาวคนกลาง กาเตอรีน เดซีเร ซึ่งมีคุณน้าผู้เป็นภริยาน้อยของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งในปารีสเป็นผู้จัดหาเจ้าบ่าวให้ คือเป็นลูกชายของขุนนางผู้นั้น กาเตอรีน เดซีเร เสียชีวิตอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1777 ทำให้คุณน้าจึงยกลูกสาวคนโตคือ โรซ ให้แทน ซึ่งตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 15 ปี
หลังจากที่ได้แต่งงานกับสามีแล้ว สามีก็เริ่มเบื่อพระองค์ และในขณะนั้นเองอยู่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส สามีของพระองค์ถูกประหารแต่พระองค์รอดมาได้ ต่อมาพระองค์มีสามีคนที่ 2 คือ ปอล บารา ผู้นำคนสำคัญของการปฏิวัติฝรั่งเศสและพระองค์ก็เป็นเพียงภริยาน้อยของปอล และต่อมาไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อและคิดจะเอาเพื่อนรักของพระองค์มาเป็นภริยาน้อยแทน ต่อมาเขาต้องการหย่าขาดจากพระองค์และนำพระองค์ไปให้นายทหารคนสนิทคือ นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต ซึ่งเป็นชาวอิตาลีจากเกาะคอร์ซิกา ตอนแรกพระองค์ไม่ได้รักนโปเลียนเลยแม้แต่น้อย แต่นโปเลียนรักพระองค์มากถึงขนาดส่งจดหมายถึงพระองค์ทุกวัน และระหว่างที่นโปเลียนไม่อยู่ พระองค์ก็หาผู้ชายไปเรื่อย ๆ พระองค์รู้ดีว่าอีกไม่นานก็จะหาความรักไม่ได้แล้วเพราะอีกไม่นานพระองค์จะย่างเข้าสู่วัยกลางคน เมื่อนโปเลียนขอพระองค์แต่งงานเดือนมกราคมในปีถัดมา พระองค์จึงไม่อาจปฏิเสธได้ ในตอนนั้นเขาเต็มใจที่จะยอมรับลูกทั้งสองของพระองค์มาเลี้ยงพระองค์จึงแต่งงานกับเขาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1796 ของขวัญวันแต่งงานที่พระองค์ได้จากนโปเลียนคือ เหรียญทองที่สลักคำไว้ว่า "แด่ชะตากรรม" แต่ว่าทุกครั้งที่นโปเลียนไปรบพระองค์ก็มักจะพาผู้ชายเข้ามาในบ้าน โดยเฉพาะนายทหารหนุ่มที่ชื่อ อีปอลิต ชาร์ล ซึ่งอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี พระองค์ลุ่มหลงเขามากถึงเขียนจดหมายไปคร่ำครวญ เมื่อหมดทางเลี่ยงพระองค์จึงต้องจำใจไปมิลานโดยไม่ลืมที่จะเอาอีปอลิตของเธอไปด้วย จนในที่สุดนโปเลียนก็รู้เรื่องนี้ ในตอนแรกนโปเลียนเองก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อกลับมาที่บ้านในมิลานก็พบพระองค์เดินทางไปเจนัวพร้อมกับอีปอลิต เมื่อพระองค์กลับมาจากเจนัวก็ปฏิเสธ แต่นโปเลียนไม่เชื่อและอาละวาด หลังจากนั้นพระองค์ก็เริ่มตระหนักว่านโปเลียนรักพระองค์มากเพียงใด และชีวิตของพระองค์จะเป็นอย่างไรถ้าขาดเขา จากเวลานั้นเองพระองค์จึงเริ่มมีใจให้กับนโปเลียน
ตั้งแต่วันนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอีกเลย แต่นโปเลียนเริ่มไม่วางใจในตัวพระองค์อีกต่อไป เขามอบความเย็นชาให้กับพระองค์ และไม่นานนโปเลียนไปหาผู้หญิงอื่นที่พร้อมจะเป็นคุณนายโบนาปาร์ตกันทั้งสิ้น พระองค์มอบความรักให้มากขึ้นเท่าที่เขาจะทวีความเย็นชาต่อพระองค์ เมื่อนโปเลียนได้ตำแหน่งกงสุลใหญ่ อีกสี่ปีต่อมาเขาก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส และสวมมงกุฎพระจักรพรรดินีให้ หลังจากนั้นพระองค์ไม่สามารถที่จะมีพระโอรสให้แก่จักรพรรดิได้ พระองค์จึงต้องหย่าขาดจากนโปเลียนในที่สุด หลังจากนั้นพระองค์ก็ย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์มาลเมซอง เพื่อเปิดทางให้พระจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ซึ่งก็คือ อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ซึ่งต่อมาพระนางก็ให้กำเนิดพระโอรสคือสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 แห่งฝรั่งเศส นั่นเอง พระองค์ใช้เวลาให้ผ่านไปกับการทำสวนดอกไม้ ซึ่งโดยเฉพาะกุหลาบที่ชอบมากที่สุด จนสวนดอกไม้ของพระองค์เป็นสวนที่สวยที่สุดในปารีส นโปเลียนจะมาเยี่ยมและสนทนารวมทั้งปรึกษาเรื่องต่าง ๆ เสมอ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1814 นโปเลียนพ่ายแพ้แก่กองทัพพันธมิตรอย่างยับเยิน นโปเลียนถูกบังคับให้สละราชสมบัติและถูกย้ายไปที่เกาะเอลบา แต่ก็ทรงมาเยี่ยมพระองค์ด้วย และในขณะที่พระองค์พระชนมายุ 51 พรรษา พระองค์ก็ได้สิ้นพระชนม์ (คาดว่าน่าจะเป็นปอดบวม) ขณะกำลังทรงเดินเล่นในสวนที่หนาวเย็นในเสื้อผ้าที่บางเบา (บุคคลที่อยู่ด้วยกันครั้งสุดท้ายคือลูกชายของเธอ) เมื่อนโปเลียนทราบข่าวถึงกับขังตัวเองไว้ในห้องถึง 3 วัน เมื่อนโปเลียนหลบหนีออกจากเกาะเอลบามาได้พระองค์ก็เดินทางไปยังคฤหาสน์มาลเมซองในสมัยที่โฌเซฟีนยังมีชีวิตอยู่เธอชอบกลิ่นของดอกไวโอเลตมาก เธอจะพรมตัวด้วยกลิ่นของดอกไวโอเลตอยู่เป็นประจำ เมื่อนโปเลียนไปที่คฤหาสน์พระองค์ก็นำล็อกเกตไปใส่ดอกไวโอเลต และเก็บล็อกเกตนี้ไว้จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตพระองค์ พระดำรัสสุดท้ายของพระองค์คือ "...ฝรั่งเศส...กองทัพ...แม่ทัพ...โฌเซฟีน..." นั่นเป็นหลักฐานว่าพระองค์รักโฌเซฟีนมาก เพียงแต่ไม่มีเวลาที่จะอยู่ร่วมกันเท่านั้น